วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คลิปวีดีโอแห่งความยากลำบาก


คลิปแรกในชีวิตของผมใน Youtube

          ขอพูดตามตรงเลยนะครับว่า กว่าจะมาเป็นคลิปอย่างที่เห็นได้ ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ในการถ่ายซ้ำๆ ไปมา พูดแบบเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพื่อหาทางแก้ข้อบกพร่องต่างๆที่ได้ถ่ายทำ ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทางผู้ถ่ายก็ได้ซ้อม เตรียมบทพูด ไว้ก่อนที่จะถ่ายแล้ว แต่เวลาถ่ายจริง เลือดตาแทบกระเด็น ซ้ำแล้วซ้ำอีก แก้ไขแล้วแก้ไขอีก ทำให้ผมเข้าอาชีพ ดารานักร้องนักแสดง เวลาที่เค้าถ่ายทำละครกัน หรือ เวลาเค้าอัดเพลงลงแผ่นเสียง กว่าจะสำเร็จได้จนเป็นงานที่คนทั่วไปได้รับชม + ยังก๊อปไปลงที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่เบื้อยงหลังอยากจะบอกว่ายากมากกว่าจะได้มาซักเพลงหนึ่ง หรือซักฉากการแสดงนึง

          โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่สนับสนุนของแท้มีลิขสิทธิอยู่แล้วตามประมานสถานทางการเงินของตน ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ ภาพยนต์ การ์ตูน หรือ เพลง ตามกำลังทรัพที่ผมมี และผมก็ไม่คิดจะสนับสนุนของไม่มีลิขสิทธิ

          ท้ายนี้ผมก็ทิ้งท้ายว่า การเอาเวปหรือลิ้งหรือคลิปหรือเพลง ไปฟังที่ไหนก็ควรให้เครดิตเจ้าของด้วยนะครับ เพราะหลายๆคนพยายามมากกว่าจะทำมาได้จนเป็นเพลง เป็นคลิป ถึงแม้ว่าบางครั้งจะหลีกหนีของไม่มีลิขสิทธิไม่ได้ แต่ยังไงถ้ามีโอกาสก็ช่วยสนับสนุนของกันมีลิขสิทธิกันบ้างนะครับ

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Tablet นวัตกรรมใหม่ของการศึกษาไทย

          ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีก้าวไกลมากในเรื่องการศึกษาหรือการค้นคว้าหาข้อมูลในเรื่องใดก็ตามสำหรับนวัตกรรมที่ผมจะยกมานั้น คือ Tablet ที่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้รับแจกเพื่อใช้ในการเรียนในโรงเรียนตอนนี้ ถึงหลายๆประเทศอาจจะเป็นเรื่องปกติที่ผู้เรียนใช้ Tablet ในการเรียน แต่ในประเทศของเรานั้นเป็นเรื่องใหม่มากๆ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ในอันดับแรกที่จะกล่าวถึง ต้องอธิบายก่อนว่า Tablet คืออะไร


นี่คือรูปร่างของ Tablet ที่แต่ละโรงเรียนได้รับแจก

          Tablet คือเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาติดตัวได้ มีหน้าจอหลายขนาด บางรุ่นสามารถใช้เป็นโทรศัพท์ได้ สามารถใช้บันทึกข้อมูล ค้นคว้าหาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตในระบบ 3G สามารถอ่านหนังสือที่เรียกว่า E-Book ได้ ตลอดจนยังสามารถชมคลิปต่างๆทางบนเว็บไซต์หรือภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถที่ใกล้เคียงคอมพิวเอตร์ทั้งสิ้น แต่ Tablet มีขนาดเล็กสามารถพกพาไปได้ทุกที่และการใช้งานที่สะดวกกว่าคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กเช่น Notebook ซึ่งมีข้อจำกัดด้านขนาด พลังแบตเตอรี่ในการใช้งาน Tablet จึงถูกเรียกว่า "คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา" นั้นเอง

          Tablet และการศึกษาไทยในมุมมองของผม

          ในตอนนี้โรงเรียนระดับประถมศึกษาทั่วประเทศได้รับแจก Tablet เพื่อให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้นำไปใช้ในเรียนควบคู่กับหนังสือเรียนและการเรียนในห้องเรียน ได้ทยอยแยกเรื่อยๆตามโรงเรียนในแต่ละเขตการศึกษาในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในมุมมองของผม Tablet เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการศึกษาและเรียนรู้ เป็นสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหนังสือเรียนบางเล่ม การเรียนบางอย่างถ้าได้ดูเป็นภาพเคลื่อนไหวหรือเป็นคลิปวีดีโอก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าดูจากรูปภาพซึ่งเคลื่อนไหวไม่ได้ ถ้ามองในด้านดีของ Tablet แล้วก็คงจะกล่าวว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับการศึกษาเป็นอย่างมาก แต่ในมุมมองอีกด้านที่เป็นผลเสียของการใช้ Tablet ในการศึกษานั้น ต้องกล่าวว่า การจะใช้ Tablet ในการศึกษาผู้ใช้จะต้องอยู่ในระดับใดถึงจะเหมาะสม หรือว่าความพร้อมของครูอาจารย์ผู้สอน และความพร้อมของสถานศึกษาที่จะนำมาใช้นั้น จะต้องมีความพร้อมในระดับหนึ่ง ซึ่ง เริ่มจาก

1.ผู้เรียน
          การแจก Tablet ให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 นั้น ต้องพิจารณาดูว่า ผู้เรียนในวัยนี้ต้องการให้ส่งเสริมด้านใดบ้าง ผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 นั้นอยู่ในระดับที่มีความต้องการพัฒนาการทางด้านการเขียนและการอ่านเป็นอย่างมาก มากกว่าการนำ Tablet มาค้นคว้าหาข้อมูลหรือใช้ในการเรียน เพราะผู้เรียนในวัยนี้ระดับความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายไปยังไม่มากเท่ากับในระดับชั้นมัธยมศึกษา ในมุมมองของผมมีความเห็นว่า การแจกTablet ในระดับนี้จะเป็นการลดทอนความสามารถในการเขียนของผู้เรียนมากกกว่าเป็นเป็นการพัฒนา ซึ่งการเขียนมีความจำเป็นอย่างมากในการศึกษา ยกตัวอย่างเช่น การสอบทำข้อสอบแบบอัตนัย ซึ่งผู้สอบต้องเขียนอธิบายตามหัวข้อที่โจทย์กำหนดมาด้วยตนเองไม่สามารถนำ Tablet เข้าไปเขียนได้ เป็นต้น และความรับผิดชอบของผู้เรียนในระดับนี้จะมีปัญหาหรือเปล่าในการเก็บรักษา Tablet ในระหว่างการใช้งานหรือหลังใช้งาน และท้ายที่สุดผมคิดว่าผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการใช้งาน Tablet ซึ่งผมคงตอบไม่ได้ว่าการแจก Tablet ให้ผู้เรียนระดับนี้ จะเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ซึ่งในมุมมองของผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแจกผู้เรียนในระดับนี้

2.ครูอาจารย์ผู้สอน
          ผู้สอนมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนหรือมีความพร้อมแค่ไหนที่จะสอนโดยให้ใช้ Tablet ผมยอมรับเลยว่าเทคโนโลยียุคสมัยรวดเร็วมาก ผมก็มี Tablet ซึ่งผมก็พึ่งใช้งานเป็นไม่ถึงปี ยอมรับเลยว่าในบางครั้งก็ยังรู้สึกว่าใช้งานไม่เป็นอยู่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้มีอัพเกรดโปรแกรมและแอพพลิเคชั่นอย่างรวดเร็วและทุกสัปดาห์ ถ้าพูดถึงในแง่การศึกษาก็อาจจะหมายถึงความรู้ใหม่ๆที่หลั่งไหลเข้ามา ผู้สอนจะสอนในความรู้ใหม่ๆได้ทันทีโดยที่ผู้สอนไม่จำเป็นต้องศึกษาเลยหรือ ในต่างจังหวัดหรือโรงเรียนที่ห่างไกลมักมีคำถามเสมอว่า ผู้สอนมีความพร้อมที่จะใช้สิ่งเหล่าในการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ ในมุมมองของผมการใช้สื่อหรือเทคโนโลยีนวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆเข้ามาสอนเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็เตรียมบุคลากรให้พร้อมในการสอนด้วยเช่นกัน

3.สถานศึกษา
          ในเรื่องสถานศึกษาต้องถามสถานศึกษาว่ามีความพร้อมแค่ไหนในการรับผิด Tablet ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ทางสถานศึกษาจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดการเสียหายหรือสูญหาย ซึ่งผมก็คงตอบตรงนี้ไม่ได้ว่าสถานศึกษาแต่ล่ะที่มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน แต่ในมุมมองของผม มองไปที่สถานศึกษาที่อยู่ตามต่างจังหวัด ที่เป็นโรงเรียนประถมเล็กๆ จะมีความสามารถในการรับผิดชอบได้อย่างไรถ้า Tablet เกิดการสูญหายหรือเสียหาย ซึ่งจากมุมมองตรงนี้ของผม ผมคิดว่าสถานศึกษาถ้าไม่ใช่สถานศึกษาที่มีทุนทรัพย์มากเพียงพอก็จะไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

          สุดท้ายนี้ผมก็ยังไม่กล้าสรุปว่า Tablet กับการศึกษาไทยจะมีผลออกไปในทางบวกหรือลบ ก็ต้องคอยจับตาดูกันต่อไปในอนาคต ซึ่งผมทิ้งท้ายไว้ว่า หากทั้ง 3 ด้านที่ผมกล่าวมีความพร้อมอย่างเพียงพอ สิ่งนวัตกรรมนี้ก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีการศึกษาในที่สุด และจะเกิดผลประโยชน์ต่อผู้เรียนสูงสุด


See You Again

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มุมมองของผมต่ออิทธิพลของสื่อการเรียนการสอนในยุคสมัยนี้

          ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวกันว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้นี้ สื่อการเรียนการสอนมีอิทธิในการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก ถ้านับตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่ผมเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาแล้ว ในตอนนั้นมีแค่หนังสือเรียน 1 เล่ม สมุดจด 1 เล่ม กระดานดำ และ ชอล์คเขียนกระดานเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีสื่อที่ประดิษฐ์ขึ้นเองจากมือ เช่น แผ่นพับ บัตรคำ สมุดนิทาน ที่มาช่วยในการเรียนการเรียนการสอน ถึงกระนั้นการใช้สื่อในตอนนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่เมื่อในปัจจุบันนั้นมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาอย่างมากมาย สื่อที่ใช้ในการสอนนั้นได้มีการปรับตัวตามเทคโนโลยี ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า ชีวิตในปัจจุบันนั้นมนุษย์เราแทบจะขาดเทคโนโลยีไม่ได้ และเมื่อสื่อการสอนมาเป็นเทคโนโลยีแล้วไซ้ อิทธิพลของสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนนั้นก็ยิ่งมีบทบาทมากขึ้น ผมจะยกตัวอย่างสื่อการสอนในชั้นเรียนที่เป็นเทคโนโลยีให้ชม


โปรแกรม PowerPoint ที่นำไว้เสนองาน


โปรเจคเตอร์ เครื่องฉาย


Notebook คอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาไปได้ทุกที่

          

Tablet สิ่งที่เข้ามาแทนหนังสือเรียนและสมุดจดบันทึก

         เทคโนโลยีที่ผมได้เสนอข้างต้นนั้นมีอิทธิในการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสอนผ่านการนำเสนอทางโปรแกรม PowerPoint เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ และการอ่าน E-Book หรือ เขียนบันทึกผ่านทาง Tablet ล้วนแล้วแต่เป็นสื่อทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา สื่อการสอนเป็นเพียงแค่ตัวช่วยที่ไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร แต่ในยุคปัจจุบันสื่อการสอนแทบจะเป็นตัวสำคัญที่เแทบจะเรียกว่า "ขาดเสียมิได้" ในการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน แต่กระนั้นสื่อเทคโนโลยีบางอย่างก็มีข้อจำกัดด้วย เช่น การบันทึกข้อความลงบน Tablet ด้วยการพิมพ์ จะทำให้ผู้เรียนที่ใช้เรียนตั้งแต่ในระดับอนุบาลหรือประถมศึกษานั้น ทักษะทางด้านการเขียนจะด้อยลงไปจากผู้เรียนในยุคสมัยก่อน

          ท้ายสุดนี้จากมุมมองของผม ผมคิดว่าสื่อการเรียนการสอนนั้นมีอิทธิผลมากในการจัดการสอนในชั้นเรียน เพียงแต่ว่าผู้สอนและทางสถานศึกษาต้องมีความพร้อมในการใช้สื่อนั้นๆในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนต้องมีความสามารถที่เพียงพอในการใช้สื่อและเทคโนโลยีในการสอน มิฉะนั้นสื่อก็เป็นเพียงแค่ วัตถุที่ไม่มีประโยชน์หากอยู่ในมือของผู้สอนที่ไม่มีความสามารถพอที่จะใช้สื่อเหล่านี้ อาจจะทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ สื่อนั้นมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ถ้าใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมจะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล และถ้าใช้ไม่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดโทษที่มากมายเช่นกัน

See You Again

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยเทคโนโลยียุคใหม่อย่างไร ???

          ก่อนเข้าถึงการอธิบายว่า "กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยเทคโนโลยียุคใหม่อย่างไร ???" ผมขอแบ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 ช่วงก่อนสรุปความหมาย ดังนี้

1.)กระบวนทัศน์ทางการศึกษาก่อนยุคสมัยเทคโนโลยีอื่นๆมาถึง (Low Technology Learning)

          ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมได้ทันเรียนในยุคสมัยก่อนเทคโนโลยีจะเข้าถึงการศึกษา ยคสมัยนั้นยังเป็นการศึกษาแบบใช้ครูและหนังสือแบบเรียนเป็นศูนย์กลาง หาความรู้ได้จากห้องเรียนและหนังสือเรียนเท่านั้น ยุคสมัยผมเรียนอยู่ระดับประถมศึกษาโรงเรียนยังไม่มีห้องสมุด การศึกษาหรือกระบวนทัศน์ในการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในห้องเรียนและหนังสือแบบเรียนที่ทางโรงเรียนจัดมาให้เท่านั้น การหาหนังสือจากนอกห้องเรียนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนกระบวนทัศน์ในการจัดการสอนก็เป็นแบบครูถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียนเท่านั้น ผู้เรียนมักไม่เคยมีการถามความรู้นอกเหนือจากในหนังสือเรียนหรือนอกเหนือจากที่ครูสอนเลย นอกจากครูผู้สอนเป็นศูนย์กลางแล้วการใช้ไม้เรียวตีลงโทษในกรณีที่ผู้เรียนกระทำความผิดก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ผิดแปลกอะไรในยุคสมัยนั้น ทำให้ผู้เรียนเกิดความหวาดกลัวที่จะถามหรือคิดอะไรนอกกรอบความรู้ที่ครูสอนให้ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่บางส่วนจะได้เข้ามาในตอนประถมศึกษาปีที่ 4 ได้มีการเรียนในรายวิชาคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากสำหรับผมในตอนนั้น กระบวนทัศน์ในการศึกษาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี จนกระทั้งผมอยู่ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนมีการสร้างห้องสมุด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้ศึกษาหาความรู้จากหนังสืออื่นที่นอกเหนือจากหนังสือแบบเรียน ความรู้นอกเหนือจากหนังสือแบบเรียนเริ่มมีมากขึ้น แต่ยังไงซะกระบวนทัศน์ในการศึกษาก็มิได้เปลี่ยนมากนัก การศึกษาค้นคว้าแบบอิสระยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควรเหมือนในยุคปัจจุบันหรือการเรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับไม่ได้จากครูผู้สอน จนกระทั่งเทคโนโลยีเข้ามาถึงสมัยผมเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนถัดไป...


หนังสือแบบเรียน ส.ป.ช. ที่ผมไม่เคยได้เกรด 4 เลย (แต่ผมชอบเรียนวิชานี้มาก)


หนังสือแบบเรียน ส.ล.น. ที่เรียนเท่าไหร่ลักษณะนิสัยไม่เคยเปลี่ยน


หนังสือแบบเรียน ก.พ.อ. ซึ่งเรียนไปไม่เคยได้ปฏิบัติในสถานที่จริง


หนังสือแบบเรียน ภาษาไทย ที่ท่อง ก-ฮ ทุกคาบและฝึกการอ่านออกเสียงและสะกดคำ


ไม้เรียว (อันเป็นตำนาน) และกระดานดำ


คอมพิวเตอร์ยุคเก่าสมัยยังไม่มีโปรแกรม Windows มีแต่โปรแกรม Dos

2.)กระบวนทัศน์ทางการศึกษาในยุคสมัย Internet + Computer  และโทรศัพท์มือถือมาถึง (Median Technology Learning)

          เมื่อผมเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 อินเตอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา มีการลงทะเบียนรายงานตัว และเลือกวิชาเลือกเสรีในระบบอินเตอร์เน็ต ระบบการสื่อสารเริ่มมีการพัฒนาขึ้น มีโทรศัพท์มือถือที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารและตามตัวได้รวดเร็วขึ้น แต่ระบบอินเตอร์เน็ตในยุคสมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมและหาใช้งานได้ยากกว่าในยุคสมัยปัจจุบันมาก อินเตอร์เน็ตต้องื้อการ์ดเติมเป็นระบบเวลาเป็นชั่วโมง หรือถ้าอินเตอร์เน็ตฟรีที่มากับโทรศัพท์บ้านก็จะมีความเร็วต่ำมากถึงขั้นโหลดบางเวปไม่ขึ้นเลย มีระบบการเรียนรู้แบบค้นคว้าอิสระเพิ่มขึ้น เช่น วิชาเลือกเสรี ซึ่งจะมีหลากหลายวิชาเลือกได้ตามความถนัด แต่ก็อยู่ในกรอบที่โรงเรียนกำหนด การค้นคว้าหาข้อมูลเริ่มมีตัวเลือกให้ใช้งานมากขึ้น เช่น ห้องสมุด หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเล็กๆน้อยๆ การใช้โทรศัพท์มือถือโทรติดต่อกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการหาข้อมูลหรือการทำงานเป็นกลุ่มเริ่มมีมากขึ้น การทำรูปเล่มแบบรายงานเริ่มมีการพิมพ์บนคอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งในยุคสมัยที่ผมเรียนระดับประถมศึกษา การทำรายงานต้องเขียนด้วยมือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ระบบคอมพิวเตอร์มีระบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น นั้นก็คือ ระบบปฏิบัติการ Windows ผมได้เริ่มใช้ในรุ่น 95 เป็นต้นมา ซึ่งกระบวนทัศน์ทางการศึกษาเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ผู้เรียนเริ่มมีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เหมือนในยุดสมัยก่อนที่ผู้เรียนต้องหาข้อมูลจากหนังสือแบบเรียนเท่านั้น เริ่มมีการพัฒนาระบบการสอนที่ปัจจุบันเรียกว่า "Child Center" คือการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการยกเลิกการใช้ไม้เรียว แต่ยังไม่มีอิสระในการเรียนอย่างสูงสุดเหมือนในยุคสมัยปัจจุบันนี้ซึ่งจะได้กล่าวในตอนถัดไป...



Nokia 3315 โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกของผม เพื่อการติดต่อแบบไร้สายและตามตัวกันได้ทันทีที่โทร


ระบบปฏิบัติการ Windows 95 ซึ่งใช้งานได้ง่ายกว่าระบบ Dos ของเก่า


Microsoft Office 95 โปรแกรมที่ปฏิวัติการเขียนรายงานและเรียงความ ซึ่งผมชอบมากเพราะไม่ต้องเขียนด้วยดินสอหรือปากกาอีกแล้ว


การเลือกวิชาเลือกเสรีในระบบอินเอตร์เน็ต ที่สามารถเลือกลงได้โดยไม่ต้องเสียเวลามายื่นอีกสารและกรอกข้อมูล

3.)กระบวนทัศน์ทางการศึกษาในยุคสมัย Notebook + Smartphone + 3G Internet + Tablet + Smartphone และเทคโนโลยีอื่นๆในยัคปัจจุบันมาถึง (High Technology Learning)

          ในที่สุดก็มาถึงยุคในปัจจุบัน เป็นช่วงที่ผมเริ่มเรียนปีที่ 1 ระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผมมีโน๊ตบุ๊คใช้การศึกษาสามารถนำไปเรียนและทำงานในหมาวิทยาลัยได้ การนำเสนอข้อมูลด้วยโปรแกรม PowerPoint มีการส่งรายงานทาง E-Mail มากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรทางธรรมชาติมากขึ้น มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้อย่างแพร่หลาย โทรศัพท์มือถือสารถเชื่ยมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้สามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา การติดต่อสื่อสารสะดวกรวดเร็วด้วยโปรแกรมต่างๆ เช่น Msn Messenger หรือ Skype เป็นต้น ระบบ Social Network ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลทุกที่มาพบปะพูดคุยกันได้ กระบวนทัศน์ในการศึกษามีอิสระอย่างเต็มที่ในการเลือกที่จะศึกษา เลือกสถานที่ หรือแม้กระทั่งเวลาที่จะเรียน โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่เรียกว่า "Smartphone" แทบจะทำได้ทุกอย่างที่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์จำกัดด้วยที่ว่าต้องอยู่ในสถานที่พักอาศัยหรือโน๊ตบุ๊คจะต้องอยู่ในสถานที่มีพื้นที่ที่จะใช้ถึงจะใช้งานได้ อินเอตร์เน็ตรุ่นใหม่ที่เรียกว่า "3G" จะช่วยอำนวยความสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา การค้นคว้าจากหนังสือบางเล่นไม่จำเป็นเป็นต้องไปที่ห้องสมุดเหมือนเมื่อก่อนเพราะมี E-Book หรือหนังสือที่สามารถอ่านแบบออนไล์ สามารถดาวโหลดมาอ่านได้ในโทรศัพท์มือถือในกรณีที่ไปในสถานที่ที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ทำให้การอ่านหนังสือไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน หรือห้องสมุดเหมือนแต่ก่อน และเทคโนโลยีใหม่อย่าง "Tablet" สามารถเป็นได้เรียนหนังสือออนไลส์ได้ผ่านระบบ 3G เป็นได้ทั้งครูผู้สอน หนังสือแบบเรียน หนงสือแบบฝึกหัด และเป็นสมุดจดหรือทำงานเป็นรายงานได้  ในยุคสมัยนี้กระบวนทัศทางการศึกษาถูกเทคโนโลยีทำให้ปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งผู้เรียนมีอิสระสูงสุดที่จะเลือกเรียน และเลือกค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่ตนต้องการ


Notebook เป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้ แต่ก็ยังไม่ค่อยสะดวกเพราะมีขนาดใหญ่


 โปรแกรม PowerPoint เป็นโปรแกรมนำเสนองานหน้าชั้นเรียน


E-Mail จดหมายออนไลส์ สามารถส่งงานทางนี้ได้ 


Msn Messenger โปรแกรมพูดคุยออนไลส์เป็นโปรแกรมแรกๆของสงัคมออนไลส์


Skype โปรแกรมยุคสมัยหลังจาก Msn Messenger ที่มีความสามารถมากกว่า


 Social Network ที่พบปะพูดคุยของผู้คนหรือการรวมกลุ่มกันเพื่อทำอะไรซักอย่างในโลกออนไลส์


Smartphone โทรศัพท์พกพาที่มีความสามารถเทียบเท่าคอมพิวเตอร์


Tablet เทคโนโลยีใหม่สำหรับการศึกษายุคสมัยใหม่

 "กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยเทคโนโลยียุคใหม่อย่างไร ???" และจริงหรือกับคำกล่าวนี้???

          จากการที่ผมได้กล่าวในแต่ละช่วง ผมมีความคิดเห็นว่า กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ถูกเทคโนโลยีทำให้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ใน 3 ช่วง ตั้งแต่ผมศึกษาอยู่ในระดับประถม มัธยม จนถึงระดับอุดมศึกษา ได้มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาในการศึกษาเสมอ ทำให้กระบวนทัศน์ในการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไปตลอด เช่น การเรียนนอกห้องดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับปัจจุบันนี้แต่เมื่อมองย้อนไป ราวๆ 15 ปี การเรียนแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่เป็นอย่างมาก การอ่านหนังสือที่ไม่ได้อ่านจากหนังสือโดยตรง เช่นการอ่านหนังสือทาง E-Book และขอมูลออนไลส์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การคว้าหาความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องเรียนและหนังสือแบบเรียนเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การหาข้อมูลออนไลส์นั้น ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลนั้นมีสูงกว่าในหนังสือทั่วไป แต่ข้อดีคือความสะดวกในการใช้ค้นคว้า จากในอดีตมาถึงปัจจุบัน กระบวนทัศน์ของการศึกษาสำหรับผมนั้นได้ถูกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปมากในทุกๆด้าน ตั้งแต่ด้านการเรียนถึงด้้านการค้นคว้าหาข้อมูล จึงทำให้ผู้เรียนในยุคสมัยปัจจุบันมีความเป็นอิสระในทางการศึกษามากกว่าผู้เรียนในอดีต จึงสมารถพูดได้อย่างเต็มเสียงเลยว่า "กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยเทคโนโลยียุคใหม่"

...See You แล้วเจอกันใหม่นะครับ...

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ฉันคือใคร??? ใครเป็นเจ้าของบล็อค??? แล้วทำไมต้องชื่อ "Thelittleone" ???

          ก่อนอื่นเลยก็ต้องบอกว่าเจ้าของบล็อคนี้ มีความรู้ความสามารถอันน้อยนิด ที่จะตกแต่งความสวยงามของบล๊อคตนเอง แต่เป็นคนใจรักในการเขียนบล็อคและชื่นชอบการAnimeกับGameเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่มีเวลามาเขียนเพราะเรียนหนัก + ตอนนี้กำลังเรียนโทอยู่ด้วย เข้าเรื่องเลยหลายคนอาจจะอยากเห็นหน้ากับประวัติคราวๆ ตามนี้ (...อย่าได้คาดหวังกับหน้าตานะครับ...)



ชื่อ-สุกล นายศรัณย์  อินทรวิจิตร (Mr.Saran  Intharavijid) (เตย)
วัน-เดือน-ปี เกิด 19 พฤษภาคม 1988 (พ.ศ.2531)
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนาพุทธ
น้ำหนัก 65 กิโลกรัม สูง 171 เซนติเมตร
E-mail little-maid@hotmail.com
มีสัตว์เลี้ยง 1 ตัว (ตุ๊กตาหมาแลบลิ้นในรูป)
ขณะนี้กำลังศึกษาต่ออยู่ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ


การศึกษา



โรงเรียนอนุบาลลำปาง (อ.1-ป.6)

โรงเรียนบุญวาทวิทยาลัยลำปาง (ม.1-ม.6)


มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพฯ (ปริญญาตรี)


ทำไมต้องชื่อ ThelittleOne

          ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าผมเป็นคนชอบเล่นเกมส์ Starcraft 2 ซึ่งเป็นเกมส์ที่ถูกบรรจุอยู่ใน E-Sport แข่งขันกันระดับโลก ผมมีความชื่นชอบผู้เล่นคนหนึ่งจากทีม Team Liquid ซึ่งคนนั้นก็คือ TLO หรือชื่อหนึ่งคือ Thelittleone ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "เล็กพริกขี้หนู" หนึ่งเดียวเท่านั้น ผมก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อบล็อคของผม นั้นก็เลยเป็นที่มาของ Thelittleone Blog เป็นบล็อคที่รีวิวของต่างๆตามใจเจ้าของบล็อค ซึ่งนานๆทีปีหนจะอัพเดทบล็อคซักครั้งหนึ่ง


TLO of Team Liquid
My Hero!!!


          ท้ายนี้ก็ส่งท้ายด้วยรูปสมัยเก่าๆตอนที่ผมเรียนอยู่สมัยปริญญาตรี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านบล็อคทุกท่าน คงได้รับทราบว่า ที่มาของบล็อค และประวัติเจ้าของบล็อค เป็นมาอย่างไร ขอบคุณครับทุกท่าน ที่เข้าอ่าน ^^"


สมัยอยู่ปี 1 ปริญญาตรี


สมัยกลับไปช่วยงานกีฬาสีโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยลำปาง


สมัยอยู่ปี 2 ปริญญาตรี


สมัยอยู่ปี 3 ปริญญาตรี



สมัยอยู่ปี 4 ปริญญาตรี



ณ ปัจจุบันตอนนี้ :P

ไว้เจอกันโอกาสหน้านะครับ ขอบคุณครับ SEE YOU..................
       
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

SamBakZaความรักที่เป็นสมหวังระหว่างแมวกับกระต่าย

          Sambakza เป็นชื่อผู้แต่งการ์ตูนคนหนึ่งของเกาหลี(เป็นนามปากกานะ) แต่ไม่มีชื่อของการ์ตูนเรื่องนี้เลยขอเรียกว่าSambazaเลยละกัน(เป็นการให้เกียติผู้แต่งอีกด้วย) เป็นการ์ตูนแบบFlash animation ที่ไม่มีบทพูดมีแต่ท่าทางในการแสดงของตัวละครแต่ละตัว ซึ่งเป็นการ์ตูนแนวโรแมนติก ระหว่างความรักของกระต่ายกับแมว ซึ่งพบกันโดยบังเอิญ แต่ความรักนั้นก็มีอุปสรรคมากมายซึ่งจะได้กล่าวในตอนต่อไป และการวิเคราะห์จากมุมมองของผม แต่ตอนนี้มาทำรู้จักสองคู่พระนางของSambakzaกันก่อน


Doki(ซ้าย), Nabi(ขวา)


เนื้อเรื่องย่อ (โดยผู้เขียนBlog)

THERE SHE IS!! Step 1


          ตัวเอกมีสองตัวคือ Doki เป็นนางเอง ส่วนNabi เป็นพระเอก ซึ่งสองคนนี้ไปพบกันโดยบังเอิญที่ตู้ขายน้ำซึ่งDoki(จะขอเรียกว่า "โดคิ") ได้ไปพบกับNabi(จะขอเรียกว่า "นาบิ") โดยบังเอิญ อาการของโดคิก็ประมาณว่าปิ้งนาบิเข้าอย่างจัง ส่วนพระเอกของเราก็ยังงงๆในตอนแรกแต่ด้วยความพยายาม(บ้า)ของโดคิที่ตามล่าพระเอกของเราแบบสุดหล่าฟ้าเขียวชนิดแบบ นาบิถึงติดปีกหนีไปไหนก็หนีไม่พ้นโดคิเลย ถึงนาบิจะสอนโดคิว่าความรักของกระต่ายกับแมวนั้นเป็นที่สังคมไม่ยอมรับกัน โดคิก็ไม่ฟัง หรือนาบิพยายามเลือกกระต่ายที่มีคุณสมบัติดีๆเช่นเรียนเก่ง หล่อ และ แข็งแรง โดคิก็ไม่สนใจ แม้กระทั่งนาบิปีนไปบนต้นไม้ก็โดนโดคิโค่นซะ นาบิถึงกับยกธงขาวยอมแพ้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรักกระต่ายกับแมว...........


THERE SHE IS!! Step 2

          ในตอนที่ 2 ของSambakzaนี้เป็นเนื้อเรื่องในวัดเกิดของโดคิ ซึ่งนาบิมีเค๊กที่จะมอบให้โดคิ แต่กว่าจะจะได้นำไปมอบให้โดคินั้น นาบิต้องผ่านอุปสรรคมากมายในการเดินทางเพื่อเอาเค๊กไปส่งให้โดคิอย่างปลอดภัย อุปสรรคมากมายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยที่เดียว...........


THERE SHE IS!! Step 3 Doki&Nabi

          มาถึงแล้วครับตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนที่ผมประทับใจที่สุดใน 5 ตอน ซึ่งเป็นตอนที่โดคิเดทกับนาบิ ซึ่งโดคิได้พานาบิไปเดทกันในที่ต่างๆ เช่นดูหนัง หรือตามส่วนสาธารณะ แต่ทั้งสองคนเนี่ยต้องเดินเว้นระยะห่างกันเนื่องมาจากสังคมไม่ยอมรับความรักระหว่างกระต่ายกับแมวสักเท่าไหร่ แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ปิดท้ายด้วยนาบิขอโดคิเดทเป็นครั้งที่ 2 เรื่องราวดูเหมือนจะไปได้ดี แต่ปัญหาที่แท้จริงกำลังจะเริ่มจากนี้ต่างหาก..........

THERE SHE IS!! Step 4 Paradise


          ในตอนที่ชื่อว่าParadise แต่ไม่ได้Paradiseสมชื่อ ในตอนนี้นาบิพาโดคิไปเดทครั้งที่ 2 นั้นไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนครั้งที่ 1 ต่างกันราวฟ้ากัยดินเลยก็ว่าได้ โดยในครั้งนี้ไม่ว่านาบิจะพาโดคิไปที่ไหนก็ตาม เค้าก็ไม่ให้เข้า เพราะสังคมเค้าแอนตี้ความรักระหว่างกระต่ายกับแมว จนเกิดผู้ประท้วงเป็นสองฝ่าย มีฝ่ายที่สนับสนุนความรักกระต่ายกับแมวและฝ่ายที่คัดค้าน จนลุลามไปถึงการปะทะกันระหว่างสองกลุ่มนี้จนทำให้โดคิโนลูกหลงถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อนของโดคิได้นำตั๋วเครื่องบินเที่ยวไปParadise ซึ่งเป็นที่ที่ความรักระหว่างกระต่ายกับแมวเป็นที่ยอมรับกันที่นั้น แต่นาบิได้แต่โทษตัวเองและไม่ยอมมาพบโดคิเลย จนกระทั่งโดคิคิดจะไปParadiseแต่เพียงคนเดียว...........


THERE SHE IS!! Final Step Imagine



          และแล้วก็มาถึงในตอนท้ายที่สุดเปิดฉาก ด้วยการจากไปของโดคิ ส่วนนาบิก็พึ่งออกมาจากสถานีตำรวจ(มีเรื่องกับเพื่อนของโดคิเมื่อตอนที่แล้ว แต่ไม่ได้กล่าวไว้) นาบิเดินมาเรื่อยๆจนพบสัตว์เลี้ยงของโดคิ ตามมาจนถึงต้นไม้แห่งหนึ่งที่มีผ้าสีเขียวผูกไว้เต็มต้น (เป็นสีที่นาบิชอบ) และพระเอกก็เกิดอาการสำนึกผิดจึงกลับไปตามหาโดคิในที่ต่างๆตั้งแต่บ้นจนถึงสนามบิน ซึ่งที่นั้นนาบิก็ได้พบกับโดคิ.........(อยากรู้ว่าเป็นไงต่อไปติดตามชมเองดีกว่าให้ภาพบรรยายดีกว่าผมมานั่งบรรยายภาพให้ฟัง)

ท่านใดสนใจอยากดูการ์ตูนเรื่องSambakza คลิกนี้


วิเคราะห์บทความการ์ตูนSambakza
          หลังจากที่ผมได้ดูการร์ตูนเรื่องนี้จบแล้ว ผมมีความรู้สึกเหมือนหลายๆคนที่ดูนั้นก็คือ รู้สึกดีและประทับใจจากก้นบึ้งของหัวใจ นอกจากนั้นยังประทับใจความน่ารักของการ์ตูนเรื่องนี้อีกด้วย ผมดูเรื่องนี้จบก็ราวๆ 3 รอบแล้วหลังจากดูจบก็มานั่งเขียนวิเคราะห์การ์ตูนเรื่องนี้ เริ่มจาก พระเอกของเรา นาบิ คาแรกเตอร์ของตัวละครนี้เป็นแบบ พระเอกให้ละครไทยทั่วไป ซึ่งพระเอกในละครไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนซื่อๆไม่คิดอะไรมากมาย หรือไม่ก็เป็นคนเฉยๆ เหมือนนาบิแทบทุกประการ ส่วนโดคินั้นเป็นนางเอกแบบนางเอกในหนังต่างประเทศ(แถบตะวันตก) ซึ่งนางเอกประเภทนี้เป็นนางเอกแบบWorking Woman ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องรอใครมาจีบก่อน แต่เข้าไปหาคนอื่นก่อนได้ แต่แน่นอนล่ะครับความรักนั้นย่อมจะมีปัญหาแน่นอนแทบทุกคู่หรือจะบอกว่าทุกคู่เลยก็ว่าในกรณีของนาบิและโดคิคือ โดนกีดกันจากสังคมส่วนใหญ่แตทั้งคู่ก็ฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาต่างๆจนสมหวังได้ในที่สุด ด้วยความพยายามของตนเอง ตรงนี้นี่เองเป็นส่วนที่ผมประทับใจมากๆ มองเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของความรักที่คนสองคนมีให้กัน เมื่อเรามองมาในยุคปัจจุบันนี้เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้น้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ สมัยนี้อยู่กันหม้อข้าวไม่ทันดำเจออุปสรรคนิดหน่อยก็จะเลิกรากันเสียแล้ว ไม่เหมือนในสมัยก่อน จากจุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้เขียนวิเคราะห์บทความนี้ขึ้นมา ทั้งนี้หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมานะที่นี้แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Aerith และ Tifa สองนางเอกผู้ไม่มีวันจมของเกมส์ตระกูล Final Fantasy

          Aerith และ Tifa เป็นนางเอกของเกมส์ Final Fantasy ในภาค 7 ทั้งคู่ และเป็นเกมส์ที่ผมชอบเล่นที่สุดในบรรดาเกมส์RPGทั้งหมดที่ผมมี บล๊อคนี้ของผมจะมาวิเคราะห์ถึงเรื่องทำไม นางเอกสองคนได้กลายเป็นตำนานของเกมส์Final Fantasy จนไปถึงขั้นมีการถกเถียงกันต่างๆนานา ว่าใครเป็นนางเอกตัวจริงของเกมส์นี้กันแน่ ฉะนั้นอย่ารอช้ามาเริ่มกันเลยดีกว่า


Aerith Gainborough, Aeris Gainborough (Eng)
(นางเอกแรกที่โนมูระออกแบบ)
ลิ้งเพลงเปิดตัวของAerithที่ชื่อว่าAerith's Theme
อายุ 22 ปี (ตามเกมส์ภาคหลัก)
สูง 163 เซนติเมตร
วันเกิด 7 กุมพาพันธ์
กรุ๊ปเลือด O
สถานที่เกิด -

          คำว่าAerith มาจาก I+Earth ที่แปลว่าผืนดิน เธอเป็นมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส เรียบร้อยเป็นกุลสตรี(ตามแบบฉบับนางเอกสมัยโบราณ) ขี้เล่นชอบแกล้งคนอื่น (นางในฝันของผมเลย) หวานอมเปรี้ยว ทำตัวเหมือนแม่ โดยในเกมส์ภาคหลัก เธอมีบทบาทอย่างมากในเนื้อเรื่อง แต่น่าเสียดายชีวิตเธอนั้นแสนสั้น เพราะเธอได้จบชีวิตลงตอนท้ายแผ่นที่ 1 จึงทำให้นักเล่นเกมส์หลายคนถึงกับตะลึงไปตามๆกัน บางคนก็เลิกเล่นเกมส์นี้เลย บางคนก็น้ำตานองเลย(ผมเอง) และมีอีกหลายคนถามว่าทำไมต้องให้เธอตาย แต่อย่างไรก็ตามประเด็นเล็กๆตรงนี้จะเป็นแรงพลักดันให้เธอก้าวขึ้นสู่การเป็นตำนานนางเอกแห่งเกมส์ซี่รี่ส์Final Fantasy และมีแฟนคลับมากมาย(ซึ่งจะมาวิเคราห์ในบทต่อไป)


Tifa Lockheart
(นางเอกคนที่สองที่โนมูระออกแบบ)
ลิ้งเพลงเปิดตัวของTifaที่มีชื่อว่าTifa's Theme

อายุ 20 ปี (ตามเกมส์ภาคหลัก)
สูง 167 เซนติเมตร
วันเกิด 3 พฤษภาคม
กรุ๊ปเลือด B
สถาที่เกิด หมู้บ้านนีเบิ้ลเฮส์ม

          Tifa Lockheart ผู้หญิงยุคใหม่ นิสัยของเธอค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตนเอง มีความสามารถ(ตามสไตส์นางเอกยุคปัจจุบัน) Tifa เป็นคนที่มีเสน่ห์มากในเกมส์ หลายๆคนชอบตัวละครนี้มาก(โดยเฉพาะประเทศไทยแต่ต่างประเทศเค้าชอบAerithกัน) บทบาทของเธอมีตั้งแต่เริ่มเกมส์จนถึงตอนจบ เป็นที่พึ่งของพระเอกเกมส์นี้ตลอดเวลาจนทำให้หลายคนเชื่อว่าเธอเป็นนางเอกตัวจริงของเกมส์นี้ไปเลยก็ว่าได้


ภาพปกเกมส์ Final Fantasy VII PS1 1997 (Ver. North America)
          เอาละครับมาถึงประเด็นที่เราจะมาวิเคราะห์กันแล้วนะครับ ที่ว่าทำไมนางเอกทั้งสองคนนี้ถึงจมไม่ลงจนกลายเป็นระดับตำนานของซี่รี่ส์เกมส์ Final Fantasy โดยผมจะวิเคราห์เป็นหัวข้อๆด้วยกันนะครับเริ่มจาก(ต่อไปนี้จะขอเรียกชื่อAerith เป็นเอริสนะครับ ส่วนTifa เป็นทีฟา, Fianl Fantasyขอเรียกว่าไฟนอล)

###วิเคราห์ความสัมพันธ์กันของตัวละคร 2 ตัวนี้###

Tifa & Aerith The Legend of Final Fnatasy Series

1.ทำไมถึงมีบทให้เอริสต้องตายตามเนื้อเรื่อง ?         
          เกมส์Final Fantasy VII มีผู้สร้างเกมส์นี้กว่า 200 คน แบ่งเป็นหลายแผนก เช่น เสียง ฉาก เนื้อเรื่อง ออกแบบตัวละคร เอฟเฟ็ค เป็นต้น ท่านอาจารย์เท็ดซึยะ โนมูระ(Tetsuya Nomura) เป็นผู้ออกแบบตัวละครกับเนื้อเรื่องได้ออกแบบให้เกมส์นี้มีนางเอกแค่คนเดียวนั้นก็คือเอริส ส่วนตัวละครที่ชื่อทีฟาตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ในหัวของท่านเลย แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์โนมูระมีปัญหาว่า ไม่รู้จะให้เอริสดำเนินเรื่องต่อไปดี และก็พอดีคุณโยชิโนริ คิทาเสะ(Yoshinori Kitasa) ซึ่งเป็นหัวหน้างานโทรมาหาพอดี อาจารย์โนมูระก็ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณคิทาเสะว่าจะทำอย่างไรดีกับตัวละครตัวนี้ คุณคิทาเสะจึงได้ให้คำแนะนำว่า ทำไมไม่ลองสร้างนางเอกขึ้นมาอีกตัวแล้วก็สร้างเนื้อเรื่องให้นางเอกคนแรกตายซะ (เจอแล้วฆาตกรคนที่สั่งฆ่าเอริสนางในฝันของผม) จากคำพูดนี้จึงจุดประกายให้อาจารย์โนมูระสร้างนางเอกขึ้นมาอีกคนนั้นคือทีฟานั้นเอง แล้วกำหนดเนื้อเรื่องให้เอริสตาย(บทความนี้อ้างมาจากหนังสือคู่มือเกมส์Final Fantasy VII)

2.ปิดฉากศักราชเก่าเปิดประตูมุ่งสู่ยุคแห่งศักราชใหม่?         
          สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของผมเองนะครับ โดยเริ่มจากเอริสเป็นนางเอกของเกมส์ไฟนอลยุคโบราณสังเกตุได้จากบุคลิกภาพ เป็นคนเรียบร้อยตามพระเอกอยู่ตลอดเวลลา เป็นช้างเท้าหลัง(ตำแหน่งที่ยืนต่อสู้อยู่ข้างหลังเป็นส่วนใหญ่) และนางเอกในยุคแรกๆก็จะเป็นพวก จอมเวทย์ขาว หรือไม่ก็นักธนู ที่ไม่สามารถSoloเดียวเข่นฆ่าศัตรูได้ตามใจชอบ ส่วนมากจะเป็นพวกให้ความช่วยเหลือในกลุ่มมากกว่า(ตั้งแต่ไฟนอลภาค1-6นางเอกเป็นแบบนี้ทุกราย) เอริสเข้าตามประเด็นนี้ทุกอย่าง ส่วนทีฟานั้นจากที่ผมได้อ่านประวัติของเธอและได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับตัวเธอตามเวปไซด์และบทความต่างๆ ผมได้วิเคราห์ออกมาเลยว่า ทีฟาเป็นนางเอกในยุคใหม่(ยุคปัจุบัน)หรือที่เราเรียกว่าWorking Woman สามรถยืนหยัดต่อสู้เพียงลำพังได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร แถมยังเป็นที่พึ่งของพระเอกตอนที่ความจำเสื่อมอีก นอกจากนี้แล้วในเนื้อเรื่องบางตอนของเกมส์ทีฟายังเป็นตัวหลักอีกด้วย(ช่วงแผ่นสองตอนปล้นเรือเหาะHigh Wing) จากสิ่งที่ผมเกรินไปข้างต้นนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ไฟนอลในภาค7 นี้เป็นการสิ้นสุดของยุคไฟนอลแบบเก่าไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง(สมัยก่อนเป็นแบบผู้กล้า นักรบ อัศวิน มังกรและพ่อมด) ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นการต่อสู้กับเครื่องจักรหรือกองทหารที่มีอาวุธที่ทันสมัย เช่น ปืน ระเบิด ฯลฯ นางเอก(สมัยก่อนเป็นพวกจอมเวทย์ขาวและนักธนู) ก็ถูกแทนที่ด้วยไฟเตอร์(หมายถึงนางเอกที่ยืนหยัดสู้เองตามลำพังได้ ก็คือเป็นนักสู้บู๊ล้างผลาญแบบทีฟานั้นแหละ) เพลงเปิดตัวตอนเข้าเกมส์ที่มีชื่อว่า The Prelude ก็ถูกเปลี่ยน(ปกติภาค 1-7 เหมือนกันหมดเริ่มเปลี่ยนที่ภาค 8 ) อาวุธในตำนานทั้งหลาย(ดาบเอ็กคาริเบอร์, ขวานแห่งรูนส์, ธนูโยอิจิ,กระบี่มาซามุเนะ เป็นต้น) ก็ถูกละลืมและสูญหายในที่สุด เพราะฉะนั้นการที่เอริสต้องตายจึงเป็นการปิดฉากไฟนอลยุคเก่าและต้อนรับยุคใหม่โดยมีทีฟาเป็นต้นตำหรับนางเอกยุคใหม่ โดยเฉพาะไฟนอลยุคหลังจากภาค 7 ขึ้นไปนางเอกเป็นWorking Woman ทั้งนั้น(ยกเว้นรีนอส์นางเอกภาค 8 สวยไร้สมองทำอะไรเองไม่เป็น น่าจะให้คิสติสเป็นแทน และไฟนอล 9 เป็นไฟนอลภาคสุดท้ายใน PS1 ที่หวนรำลึกถึงไฟนอลในยุคโบราณ)แต่ก็ไม่ละทิ้งความเป็นนางเอกไฟนอลยุคใหม่คือเป็นWorking Woman หลายๆคนบอกว่าการปิดฉากอย่างนี้ไม่ค่อยงดงามนักสำหรับการเปิดยุคใหม่ของไฟนอล แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งที่งดงามตามแบบฉบับของอาจารย์โนมูระที่ได้สร้างเกมส์ดีๆอย่างนี้มาให้พวกเราได้เล่นกัน^^"(แต่ก็เสียใจเหมือนกันที่เอริสตาย-_-)

3.ใครคือนางเอกตัวจริงกันแน่ของไฟนอล7 ?         
          นี่เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่มีผู้คนมากมายทั่วโลกถกเถียงกันมาเป็นเวลาตั้งแต่ปี1997ถึงปัจจุบันก็กินเวลาร่วมสิบสองปีแล้วเป็นปัญหากันมายาวนานมากในบรรดาเกมส์RPGทั้งหลายผมก็เห็นเกมส์นี้แหละที่มีการเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้(ในกระทู้ประเทศไทยก็ยังเถียงกันอยู่) กรณีนี้ผมคิดว่าขึ้นอยู่ของการมองแต่ละมุมของแต่ละบุคคลตามความคิดของบุคคลท่านนั้นๆ ส่วนถ้ามีใครมาถามผมว่าใครเป็นนางเอกตัวจริง ผมก็คงตอบไปว่า "สำหรับผมแล้วทั้งสองคนเป็นนางเอกทั้งคู่ไม่ใช่ว่าผมรักพี่เสียดายน้องนะครับแต่เป็นเพราะว่าภาคนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเกมส์ตระกูลไฟนอล ถ้าไม่มีนางเอกสองคนนี้ เกมส์ไฟนอลก็ยังคงเป็นเกมส์เกี่ยวกับ ผู้กล้านักรบ อัศวิน มังกรและพ่อมดที่ไม่ทันสมัยเหมือนเดิม"

4.ความรักที่ทั้งสองมีต่อพระเอกของเรา       
          แน่นอนครับว่าทั้งทีฟาและเอริสนั้นต่างเป็นห่วงพระเอกด้วยว่าความไรน้ำยาของพระเอกของเราเนี่ยมากมายเสียเหลือเกิน นี่คือสิ่งที่สองคนนี้มีเหมือนกันแต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างสองคนนี้ก็คือ เอริสนั้นเลือกที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมปกป้องคนที่ตนรัก จึงเลือกทางเดินทำตามความฝันของตนคือการปกป้องดาวดวงนี้เพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรักและทุกคนบนดาวดวงนี้แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนก็ตาม(ตามแบบฉบับนางเอกยุคโบราณเค้าทำกัน) ส่วนทีฟาเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ตนรักคือการปกป้องคนที่ตนรักเหนือสิ่งอื่นใด(ดูจากเนื้อเรื่องในเกมส์ได้ตามแบบฉบับนางเอกยุคใหม่หรือดูตามชีวิตจริงในปัจจุบันก็ได้เพราะคนที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างเอริสนั้นมีน้อย แต่คนที่จะทำตามสิ่งที่ฉันรักเพื่อคนที่ฉันรักและตัวเองอย่างทีฟาน่ะมีมาก) ตรงนี้แหละครับที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างเอริสกับทีฟา


ต้องขอขอบคุณเอริสและทีฟาซึ่งทำให้เกมส์ไฟนอลก้าวขึ้นสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์

ก่อนขึ้นหัวข้อผมขอเกริ่นถึงตัวพระเอกกับพระรองที่เป็นตัวแปรสำคัญในเกมส์ก่อนนะครับ


Cloud Strife
(พระเอกผู้ไม่เอาถ่านที่โนมูระออกแบบ)

อายุ 21 ปี (ตามเกมส์ภาคหลัก)
สูง 173 เซนติเมตร
วันเกิด 11 สิงหาคม
กรุ๊ปเลือด AB
สถานที่เกิด หมู่บ้านนีเบิ้ลเฮส์ม
ชื่อเล่น ไฮ้หัวโชโคโบะ, เมฆ

          Cloud(ต่อไปนี้ขอเรียกว่าคราวด์)เป็นพระเอกของภาคนี้โดยคาแร็กเตอร์ของตัวละครนี้มีนิสัยเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก แต่มีความสัมพันธ์กับทีฟาเป็นอย่างมากเราเพราะเคยเป็นเพื่อนในวัยเด็กและอยู่หมู่บ้านเดียวกันมาก่อน คราวด์เคยให้สัญญากับทีฟาก่อนไปเป็นทหารว่าจะกลับมาปกป้องทีฟาหลังจากที่ได้เป็นทหารFirst Classแล้ว ในภาคหลักช่วงแผ่นหนึ่งถึงต้นแผ่นสองคราวด์มีความจำที่เป็นของแซ็คมาโดยตลอด


Zack Fair
(พระเอกไฟนอล7ภาคCrisis Coreก่อนภาคหลัก 5 ปี)

อายุ 23 ปี (เสียชีวิตแล้วก่อนภาคหลัก 5 ปี)
สูง -
วันเกิด -
กรุ๊ปเลือด O
สถานที่เกิด กองกาก้า

          Zack Fair(ขอเรียกว่าแซ็ค) สำหรับผมแล้วเซ็คก็เป็นอีกหนึ่งพระเอกของซี่รี่ส์ในภาค7 (แต่ไม่ได้เป็นในภาคหลักขอเรียกว่าพระรองละกัน) แซ็คมีนิสัย ขี้เล่นคล้ายเอริส มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เป็นคนมาความสามารถมากได้เป็นทหารระดับ First Class ของชินระอย่างรวดเร็ว และเมื่อ 5 ปีก่อนเคยเป็นแฟนกับเอริส(ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาอยู่ทุกวันว่าเอริสรักใครกันแน่) แต่ในภาคหลักไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่เพราะเสียชีวิตไปแล้ว(มีแค่ตอนที่คราวด์รำลึกความหลังหลังจากได้ความทรงจำของตนกลับมาแล้ว) แต่ตัวละครนี้มีผู้เทิดทูนเป็นอย่างมากว่าเป็นวีรบุรุษตัวจริงของเกมส์ไฟนอล 7 เพราะได้เสียสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องคราวด์(ถ้าใครเคยเล่นภาคCrisis Core ก็จะรู้)

ภาพปกเกมส์Final Fantasy 7 Crisis Core 2007 (PSP)


###วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเอริสกับคราวด์###


Aerith & Cloud
(The Love isn't fulfill)

1.เอริสรักคราวด์รึเปล่า?         
          เป็นคำถามที่ผมคิดว่าหาคำตอบค่อนข้างยากมาก แต่สำหรับในความคิดเห็นผมนั้น ผมคิดว่าเอริสอย่างน้อยก็ต้องชอบคราวบ้างแหละจากการที่ผมสังเกตการกระทำต่างๆนานาและศึกษาจากบทความหรือไปลงทุนนั่งแปลคำพูดในเกมส์เอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ถามว่าทีฟาเป็นแฟนคราวด์รึเปล่าหรือแม้แต่ในช่วงเดทกับคราวด์ที่โกลด์ซอเซอร์ที่มีบทสนทนาที่ว่า.......
Aerith : "Oh! Look, Cloud."
Aerith : "It's beautiful, isn't it?"
(She looks down)Aerith : ".........first off, it bothered me how you looked exactly alike. Two completely different people, but look exactly the same. The way you walk, gesture...I think I must have seen him again, in you..."
(She shakes her head) Aerith : "But you're different." (She looks down again)
Aerith : "Things are different... Cloud,...I'm searching for you..."
Cloud : "............?"
Aerith : "I want to meet you."
Cloud : "But I'm right here."
Aerith : (I know, I know... what I mean is...) "I want to meet..... you."
Aerith : "I had fun tonight. Let's go together again."
(ข้อความข้างต้นอ้างอิงมาจากเวปการสนทนาระหว่างเอริสกับคราวด์)
จากจ้อความที่ผมเน้นเป็นตัวหนังสือสีแดงแปลได้ใจความว่า เอริสต้องการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของคราวด์ เพราะเอริสรู้สึกถึงความเป็นแซ็คที่อยู่ในตัวคราวด์จากประเด็นนี้สรุปได้เป็นอย่างเดียวเลยว่าเอริสมีความสนใจในตัวคราวด์ ถึงขั้นรักเลยรึเปล่าก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็บอกไม่ได้อีกแหละว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าถามความเห็นของผม ผมคิดว่าคงจะรักนะครับดูจากความเป็นจริงในชีวิตจริงของคนเรานั้นถ้าไม่รักใครจริงก็คงไม่ต้องการรู้หรอกว่าเค้าคนนั้นเป็นคนยังไง แต่ถ้ารักก็คงอยากทำความรู้จักให้ดีรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้น

2.แล้วเรื่องรักแรกกับแซ็คล่ะ?         
          จริงๆแล้วเอริสเคยเป็นแฟนกับแซ็คมากก่อน(ในภาคCrisis Core) ซึ่งเป็นรักครั้งแรกของเธอเมื่อ 5 ปีก่อนภาคหลัก หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อมานานถึง 5 ปี ถ้าถามว่าเธอยังรักแซ็คอยู่ไหม คำตอบอย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะเป็นว่ารักอยู่(ก็รักแรกนะยากที่จะลืม)แต่ถ้าถามความรู้สึกของเอริสในภาคหลักแล้วว่ารักใครระหว่างแซคกับคราวด์ คำตอบที่แทบจะแน่นอนก็คงบอกว่าคราวด์ ประเด็นนี้ดูจากพฤติกรรมของเอริสเป็นหลัก และถ้าในความเป็นจริงของชีวิตจริงแล้วต่อให้เป็นรักแรกของใครก็ช่างเถอะ ต่อให้รักมากสุดหัวใจอย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ดีๆขาดการติดต่อกันไปอย่างยาวนานถึง 5 ปี เป็นตายร้ายดีกระไรก็มิรู้ เป็นใครๆก็เปลี่ยนทั้งนั้นแหละ(ถึงผมจะแปลจดหมายทุกฉบับที่เอริสเขียนหาแซ็คก็เถอะ) เป็นชีวิตจริงก็คงเขียนหาได้ ผมให้เต็มที่เลย 2 ปี ถ้าไม่เลิกเขียนให้รู้ไป(ยกเว้นโฆษณาไทยประกันชีวิตชุดปู่ชิวอันนั้นเค้าแต่งงานกันแล้ว) จากบทวิเคราะห์นี้ผมจึงมีความเห็นว่าเอริสคงรักแซ็คอยู่แต่ในฐานะแฟนเก่า ถ้าตามเนื้อเรื่องของภาคหลัก ก็น่าจะมีใจให้พี่โบะของเราแล้ว......

3.หลังจากที่เอริสตายแล้วล่ะ?         
          หลังจากที่เล่นเกมส์ไฟนอล7จนจบแผ่นหนึ่งแล้วทุกคนคงพบเหตุการณ์นี้เหมือนกัน คือเอริสถูกเซฟิรอสฆ่าตายที่เมืองที่ถูกลืมบนแท่นบูชาที่วหารแห่งวารีหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่บทความThe Maiden Who Travels the Planet(สาวน้อยผู้เดินทางท่องดวงดาว)มีตอนหนึ่งที่เป็นบทสนทนาระหว่างเอริสกับแซ็ค(อ้างอิงมาจากบทสรุปเกมส์Final Fantasy VII)
แซ็ค : “รู้ไหมแอริธ ในบรรดาผู้หญิงที่ฉันคบมาทั้งหมด เธอดีที่สุดเลยนะ หลังภารกิจนั้น พอฉันกลับถึงบ้านแล้วเราน่าจะได้อยู่ด้วยกันและออกไปเที่ยวด้วย กันแบบเมื่อก่อน ฉันเกลียดเซฟิรอธ และก็เกลียดชินระที่ปิดเรื่องที่พวกมันทำเป็นความลับ“
แอริธ : “คนที่เที่ยวคบกับผู้หญิงไปทั่วน่ะรักใครไม่เป็นหรอก
แซ็ค : “ใจร้ายจัง ฉันก็ใจดีกับทุกคนนั่นแหละ“
แอริธ : “นั่นแหละข้อเสียของเธอ เธอไม่ใช่คนเรียบง่ายและงุ่มง่ามแบบคลาวด์
แซ็ค : “เธอชอบแบบนั้นเหรอ แอริธ? “
แอริธ : “ใครจะรู้ล่ะ 5 ปีแล้วอะไรๆมันก็เปลี่ยนไปได้
แซ็ค : “เฮ้ย! “
จากที่ผมเน้นตัวสีแดงแล้วก็พอสรุปได้ว่าเอริสนั้นรักและเป็นห่วงคราวด์มากกว่าแซ็คอย่างแน่นอน ส่วนเอริสนั้นคงจะรักคราวแบบคนรักไม่ได้แล้วเพราะตนเองได้เสียชีวิตไปแล้วก็ได้มอบคราวด์ไว้ให้ทีฟาดูแลแทนดังบทสนทนาที่บอกว่า
แอริธ : “เธอทำได้ ทีฟา ขอบใจนะ ....ฉันอิจฉาเธอนิดหน่อย แต่...ช่วยดูแลคลาวด์และโลกเบื้องบนด้วยนะ”
นอกจากนั้นในภาคที่เป็นMovie Final Fantasy VII Avent Children (ผมดูภาคCompleteมาแล้ว) เอริสยังคอยช่วยเหลือคราวตลอดไม่ว่าในสถานะการณ์ไหน เอริสยังบอกให้คราวด์ว่าไม่เป็นไรอย่าโทษตัวเองเลย

4.เอริสต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความรัก(คราวด์)กับความฝัน(ปกป้องดวงดาวจนกลายเป็นตำนานนางเอกแห่งไฟนอล)         
          ตัวเอริสนั้นรู้ดีว่าตนเป็นผู้เดียวสามารถช่วยเหลือดาวดวงนี้ให้รอดพ้นจากเมทิโอ(อุกาบาต)ซึ่งเป็นความฝันของเธอมาโดยตลอด ส่วนอีกใจหนึ่งก็อยากจะทำความรู้จักคราวด์ให้มากขึ้น (เมื่อมาถึงตรงนี้ผู้เขียนขอเทิดทูนเอริสว่าเป็นนางเอกผู้เสียสละดุเดียวกับวีรสตรีหลายๆคนเช่น โจน ฮ๊อฟ อาร์ค, อเล็กซานดรินา วิคตอเรีย, แคทเทอรีนที่2 เป็นต้น) เธอตัดสินใจเลือกที่จะเป็นผู้ปกป้องดาวดวงนี้ถึงแม้ว่าภายหลังเธอฆ่าตายโดยเซฟิรอสก็ตาม(นางในฝันของผมต้องแบบนี้เลย) การตัดสินใจของเธอของเธอนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่มากถ้าเทียบกันกับในปัจจุบันนี้มีน้อยคนที่จะกล้าตัดสินใจแบบเธอ เพราะเมื่อคนเราถึงทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างความรักกับความฝันนั้น คนส่วนใหญ่มักเลือกความรักเสมอ มีเพียงคนส่วนน้อยที่เลือกความฝัน(อัตราส่วนประมาณ ผู้เลือกความรัก ต่อ ผู้เลือกความฝัน ประมาณ 1,000,000:1)แต่มีผมคนหนึ่งละที่จะเลือกความฝัน^_^



Aerith Die, Kill by Sephiroth
(ลิ้งตอนเอริสถูกฆ่าตายAerith Die)

Aerith & Zack in Final fantasy VII Avent Children
(Rest in Peace)

###วิเคราะห์ความมสัมพันธ์ของทีฟากับคราวด์###

Tifa & Cloud in Final Fantasy VII Avent Children
(The Love is Neglect)

1.ทีฟานั้นรักคราวด์แน่นอนแต่คำถามอยู่ที่ว่าความรักของนางเอกสมัยใหม่นั้นจะเป็นอย่างไร?
              สำหรับความรักที่ทีฟามีต่อคราวด์นั้น ค่อยข้างจะแน่นอนเลยว่าทีฟานั้นรักคราวด์มากกว่าคนอื่นคนใดในเกมส์นี้เลย เนื่องจากทีฟาเคยเป็นเพื่อนสนิทกับคราวด์ตั้งแต่เป็นเด็กเพราะฉะนั้นทีฟาน่าจะเป็นคนที่รู้จักคราวด์ดีกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมต่างๆ ความคิดอ่านความรู้สึก แต่ถึงทีฟาจะรักคราวด์มากแต่ไหนก็ตามดูเหมือนว่าคราวด์จะเพิกเฉยต่อทีฟามากทั้งในเกมส์และภาคMovie ความรักของทีฟาที่มีต่อคราวด์นั้นหากวเคราห์กันให้ดีจะมองเห็นว่าเป็นความรักแบบสมัยใหม่ที่ผู้หญิงพยายามควบคุมผู้ชายไว้ในกำมือ ซึ่งในกรณีของทีฟาจะเห็นได้เด่นชัดในภาคMovie ซึ่งทีฟาได้กล่าวตำหนิคราวด์ไว้ต่างๆนานาว่าให้ลืมความหลังซะอย่างทำตัวแบบเรื่อยๆไปวัน เพ่งเล็งไปยังจุดหมายของตนดีกว่าสิ่งใด จากตรงนี้เราจะเห็นได้ว่าทีฟาพยายามให้คราวด์ทำตามที่ตนบอก ต่างจากความรักที่เอริสมีให้คราวด์แบบนางเอกสมัยเก่าที่ค่อยช่วยเหลือให้กำลังใจตลอดเวลา พยายามให้เป็นตัวของตัวของให้มากที่สุด
หมายเหตุ : เนื่องจากคาแร็กเตอร์ของทีฟานั้นเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีข้อถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์กับคราวด์ซักเท่าไหร่ผู้เขียนจึงเขียนได้แค่ข้อเดียวเท่านั้น จึงเรียนมาเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

###วิเคราห์ความสัมพันธ์ของคราวด์ที่มีต่อสองสาวแห่งตำนานไฟนอล###

Cloud, Aerith & Tifa
(Three Ways Love to Sad)

1.คราวด์กับเอริส(รักที่ไม่สมหวังเนื่องจากแม่ท่านเลือกที่จะเป็นตำนานมากกว่านางเอกไฟนอลหรือเพราะชื่อไม่เป็นมงคล คราวด์ แปลว่า เมฆ ส่วนเอริส แปลว่า ผืนดิน ฉะนั้น เมฆกับผืนดินไม่มีวันมาบรรจบกัน เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน )         
          คราวด์นั้นรักเอริสรึเปล่า บอกได้แค่ว่ารักแน่นอนไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมานั่งโทษตัวเองที่เป็นต้นตอที่ทำให้เอริสต้องตาย(ในภาคMovieดูเหมือนคราวด์จะไม่ค่อยสนใจทีฟาเท่าไหร่)แต่ในภาคหลักที่คราวด์สนใจเอริสนั้นอาจจะเป็นเพราะมีความทรงจำของแซ็คอยู่ก็เป็นได้ แต่ภายหลังพอคราวด์ได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วก็ยังพูดแต่เรื่องที่จะแก้แค้นให้เอริสและยังไม่หยุดโทษตัวเอง จนในภาคMovieมีฉากหนึ่งที่เอริสถามว่าต้องการการให้อภัยจากใครหรือ และตลอดเรื่องคราวด์ยังยึดติดอยู่กับเอริสจนไม่หันมามองทีฟาเลย แต่สุดท้ายหยุดโทษตัวเองและก็คงจะปลงตกแล้วว่าตัวเองนั้นต้องทีฟาตลอดไป

2.คราวด์กับทีฟา(รักที่ถูกมองข้ามอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้)         
          คิดแล้วก็แค้นแทนทีฟาที่คราวด์ไม่เคยหันมามองตนเลยทั้งๆที่น่าจะรู้ดีว่าใครเป็นห่วงมากที่สุด แต่สำหรับคราวด์ในตอนนั้นแล้วก็คงจะรู้ว่าทีฟารู้สึกอย่างไรกับตน ถึงอย่างนั้นแล้วความที่ว่าคราวด์เป็นคนเฉยๆไม่แสดงออกกลับทำให้หลายคนคิดว่าคราว์นั้นไม่ได้คิดอะไรกับทีฟาแต่จริงๆแล้วใครจะรู้..........ไปดูตอนท้ายแผ่นสองสิแล้วจะเข้าว่าสองคนนี้ทำอะไรกัน.............. ผมลงความเห็นว่ายั่งงี้ละกัน "คราวด์คงจะมีใจให้ทีฟาแต่ไม่เปิดเผยจนนักเล่นเกมส์หลายๆคน(ต่างประเทศ)ลงความเห็นกันว่าคราวด์ควรจะคู่กับเอริสมากกว่าทีฟา"

###คำว่านางเอกผู้ไม่มีวันจม###
หลายคนคงจะตั้งคำถามกับผมว่าทำไมจึงตั้งชื่อหัวข้อว่านางเอกผู้ไม่มีวันจม ก็คงเป็นเพราะตัวละครสองตัวนี้อยู่ติดตราตรึงใจของผู้ที่เล่นเกมส์ตระกูลไฟนอลมาตอลดระยะเวลานานนับสิบปี แถมยังมีข้อโต้เถียงกันอีกระหว่างนางเอกสองคนนี้มาโดยตลอดระยะเวลาที่เกมส์นี้ออกวางจำหน่ายตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จึงทำให้ชื่อของเอริสและทีฟาจะคงคู่อยู่กับคนที่เคยเล่นไฟนอลตลอดไปอย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งแหละ

###Aerith ที่ปรากฏอยู่ในเกมส์และMovieต่างๆ###


Aerith in Final Fantasy VII 1997 (PS1)

Aerith in Final Fantasy VII Avent Children 2005 (Movie)



Aerith in Final Fantasy Crisis Core 2007 (PSP)

Aerith in Kingdom Hearts 2002 (PS2)

Aerith in Kingdom Hearts 2 2005 (PS2)

###Tifaที่ปรากฏอยู่ในเกมส์และMovieต่างๆ###


Tifa in Final Fantasy VII 1997 (PS1)
Tifa in Fianl Fantasy VII Avent Children 2005 (Movie)

Tifa in Kingdom Hearts 2 2005 (PS2)

          สุดท้ายหลังจากการวิเคราห์กันอย่างหฤโหดมากันตั้งนานแล้ว จากการวิเคราะห์ข้างต้นท่านผู้อ่านจะได้ทราบว่าเรื่องราวของไฟนอล7 นั้นมักจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันเราไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่างเช่น รักสามเศร้าเนี่ยคงจะเจอกันทุกคน(หรือบางคนบอกว่าหลายเศร้ามากกว่าเพราะสับรางไม่ทัน.....อิอิ) ส่วนไอ้เรื่องความรักกับความฝันนั้นมันเป็นเรื่องที่เราเจอกันอยู่แล้วประจำสำหรับคนที่มีความรักแล้ว(หรือมีแฟนแล้ว) ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น มีผู้หญิงคนหนึ่งมีความใฝ่ฝันจะไปเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมที่กรุงโรมในประเทศอิตาลี แต่ก็ต้องคิดหนักเมืองแฟนของเธอขอเธอแต่งงาน ผู้หญิงคนนั้นจึงบอกว่า"รออีก 2 ปี ได้ไหมรอฉันเรียนจบก่อนแล้วจะกลับมาแต่งด้วย" ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบอะไรและเดินจากเธอไป และหลังจากนั้นไม่นานผู้ชายคนนั้นก็แต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง (เป็นเรื่องจริงของพี่สาวผม) จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเนื้อเรื่องของเกมส์ไฟนอล7 มีเนื้อหาหลายส่วนที่ตรงกันกับชีวิตความเป็นจริง เช่น รักสามเศร้า การเสียสละ การทำเพื่อคนที่เรารักและตนเอง ตันหาของมนุษย์เรา เป็นต้น ทุกอย่างที่ได้กล่าวมาเป็นเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยาย(ยกเว้นเรื่องเมทิโอ) จึงทำให้เกมส์นี้เป็นตำนานและยิ่งมีการเสียสละตนของนางเอกด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หลายคนบุชาทั้งนางเอกทั้งเกมส์นี้เลยก็ว่าได้ การตายของเอริสนั้นมีความสมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว(จำคำพูดเค้ามาว่าอีกที) เพราะสิ่งที่เอริสทำมันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนที่ชอบปิดทองหลังพระอยู่แล้ว(ตำรวจ ต.ช.ด. และทหารที่ประจำการบริเวณชายแดน) เพราะฉะนั้นเกมส์นี้ถึงได้ลงตัวในหลายๆด้าน เนื้อเรื่อง ตัวละคร จิตวิทยาที่ใช้(โดยเฉพาะไฟนอลภาคหลังๆเนี่ยใช้จิตวิทยามากขึ้น) สังเกตได้จากสิบกว่าปีที่ผ่านมาเนี่ยมีการทำภาคต่อของเกมส์นี้อย่างมากมาย เช่น Crisis Core, Before Crisis, Dirge of Cerberusหรือจะเป็นMovie อย่าง Avent Children ผมทำการศึกษาเนื้อเรื่องของไฟนอล7 กับเรื่องจิตวิทยาควบคู่กันไปด้วยเป็นเวลานานกว่า 5 ปีแล้วก่อนเขียนบล๊อคนี้ขึ้นมา หากว่าข้อมูลของผมผิดพลาดไปในประการใดหรือทำให้ผู้อ่านเกิดความไม่พอใจในประการใดก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ^^
###Final Fantasy VII The Golden Age of Squaresoft###
The Great Conquest of Final Fnatasy

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@